วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
Trendy Review : Samsung Galaxy Note Edge
Trendy Review พาไปพบกับสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของซัมซุงที่เพิ่งเข้ามาไทยหลังสงกรานต์ที่ผ่านมา กับ Samsung Galaxy Note Edge มาดูกันดีกว่าว่าเจ้านี่มีดีอะไรบ้าง ขอบจอโค้งจะเป็นแค่เอกลักษณ์ที่เอาไว้ทำให้ว้าวเฉยๆ หรือเปล่า... แท้จริงแล้วจะมี shotcut เมนูให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น และสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ยังสามารถใช้งานร่วมกับ Pocket WiFi ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทระหว่างประเทศ
ตอนที่ Samsung เขาเปิดตัว Galaxy Note รุ่นใหม่เมื่อปีที่แล้ว เขาเปิดตัวสองรุ่นครับ คือ Note 4 กับ Note Edge เพียงแต่ Note Edge เพิ่งจะได้เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานมานี้เอง และในที่สุดผมก็ได้มันมาลองเล่นอยู่ในมือแล้ว มาดูกันดีกว่าว่าเจ้านี่มีดีอะไรบ้าง ขอบจอโค้งจะเป็นแค่เอกลักษณ์ที่เอาไว้ทำให้ว้าวเฉยๆ หรือเปล่า แล้วเทียบกับ Galaxy Note 4 แล้ว แตกต่างกันตรงไหน
รูปร่างหน้าตาของ Samsung Galaxy Note Edge
ในภาพรวมแล้ว ดีไซน์ของ Samsung Galaxy Note Edge ก็จะคล้ายๆ กับ Samsung Galaxy Note 4 ครับ ความแตกต่างที่ชัดเจนก็จะเป็นเรื่องหน้าจอแสดงผลที่เพิ่มขอบจอโค้งเข้ามา ทำให้อะไรบางอย่างเปลี่ยนไปเล็กน้อยครับ
ด้านหน้าของ Samsung Galaxy Note Edge เป็นหน้าจอ QHD Super AMOLED 5.6″ ความละเอียด 2560 x 1600 พิกเซล (524ppi) โดดเด่นด้วยขอบจอโค้งด้านนึง รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทกับ Pocket WiFi มีปุ่ม Home ที่เป็นเครื่องสแกนลายนิ้วมือด้วยในตัว และมีปุ่มสองปุ่มคือ Recent apps กับ Back ตามสไตล์สมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android รุ่นใหม่ๆ นอกจากนี้ก็มีลำโพงโทรศัพท์ มี Proximity sensor และ Ambient light sensor และกล้องด้านหน้าความละเอียด 3.7 ล้านพิกเซล f/1.9 เลนส์มุมกว้าง เหมือนกับ Galaxy Note 4
ด้านหลังของ Samsung Galaxy Note Edge ก็จะคล้ายๆ กับ Galaxy Note 4 ดีไซน์แบบ Faux leather ทำลวดลายและผิวสัมผัสคล้ายแผ่นหนัง … จริงๆ ต้องเรียกว่าเหมือนกันเลยดีกว่าครับ มีกล้องดิจิตอลด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อม Flash และก็มีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ เซ็นเซอร์วัดความเข้มของ UV และก็ลำโพงด้านหลัง
ด้านบนของ Samsung Galaxy Note Edge นั้น มีความแตกต่างให้เห็นแล้ว ตัวรับสัญญาณจาก Pocket WiFi ก็จะอยู่ในส่วนของด้านหลัง เพราะขอบจอด้านนึงเป็นแบบโค้ง ปุ่ม Power ก็เลยต้องย้ายขึ้นมาด้านบน และแม้ว่าจะมีพอร์ตอินฟราเรดเหมือนเดิม แต่ตำแหน่งก็ย้ายมาอยู่ใกล้ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. แทน แต่ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และรูไมโครโฟนสำหรับบันทึกเสียงวิดีโอยังอยู่ที่เดิม … และถ้าสังเกตดีๆ ร่องเล็กๆ สำหรับแกะฝาหลังก็มาย้ายจากด้านข้างมาด้านบนนี่
ด้านล่างของ Samsung Galaxy Note Edge อันนี้เหมือน Galaxy Note 4 เลย มีช่องใส่ S Pen มีพอร์ต Micro USB 2.0 และรูไมโครโฟน 2 จุด ใช้สำหรับสนทนาโทรศัพท์ บันทึกเสียงเวลาถ่ายวิดีโอ หรือแม้แต่ตอนอยู่ในโหมดอัดเสียง
ด้านซ้ายของ Samsung Galaxy Note Edge ยังเหมือน Galaxy Note 4 คือมีปุ่ม Volume อย่างเดียว
ด้านขวาของ Samsung Galaxy Note Edge นั้น คือความแตกต่างจริงๆ ด้วยขอบจอโค้ง ซึ่งส่งผลให้ตัวเครื่อง Galaxy Note Edge ดูอวบอ้วนกว่า Galaxy Note 4 นิดหน่อย และเป็นที่มาว่าทำไมขนาดหน้าจอเล็กลงนิดหน่อย (เหลือ 5.6 นิ้ว) แต่มีความละเอียดในการแสดงผลมากขึ้น (กลายเป็น 2560 x 1600 พิกเซล)
สเปกและประสิทธิภาพของ Samsung Galaxy Note Edge
ตัว Samsung Galaxy Note Edge นั้น แตกต่างไปจาก Galaxy Note 4 ในแง่ของสเปกด้านในครับ เพราะไม่ได้ใช้ชิป Exynos ของ Samsung เอง แต่ไปใช้ Snapdragon 805 Quad-core ครับ แต่ในแง่สเปกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความจุ หรือเรื่องของกล้อง ไม่แตกต่างกัน
• CPU: Qualcomm Snapdragon 805 Quad-core 2.7GHz Krait 450
• GPU: Adreno 420
• Display: QHD Super AMOLED 5.6″ 2560 x 1600 (1440 + 160) พิกเซล (524ppi)
• RAM: 3GB
• Internal storage: 32GB
• External storage: รองรับ MicroSD card สูงสุด 128GB
• Operating System: Android 4.4.4 KitKat
• Connectivity
• ชนิดของซิม: Micro SIM
• 2G: 850/900/1800/1900MHz
• 3G: 850/900/1900/2100MHz
• 4G: 800/850/900/1800/1900/2100/2600MHz
• WiFi: 802.11a/b/g/n/ac Dual-band ใช้กับ Pocket WiFi ได้ด้วย
• Bluetooth: 4.0
• Infrared port: มี
• NFC: มี
• Camera:
• กล้องหน้า 3.7 ล้านพิกเซล f/1.9 เลนส์กว้าง 90 องศา
• กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash
• Battery: 3,000mAh
• Dimensions: 151.3 มม. x 82.4 มม. x 8.3 มม.
• Weight: 174 กรัม
• Others: เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ, เซ็นเซอร์วัดความเข้มของ UV, ตัวสแกนลายนิ้วมือ, ขอบจอโค้ง, ไมโครโฟนสามจุดสำหรับบันทึกเสียง
• Price: 28,900 บาท
ค่อนข้างชัดเจนเลยว่า สนนราคาค่าตัวที่พุ่งมาอยู่ที่ระดับ 28,900 บาท นี่คือ “ค่าเทคโนโลยี” หน้าจอแสดงผลแบบ YOUM ของ Samsung ที่ทำให้สามารถดัดหน้าจอเป็นแบบโค้งได้นั่นแหละครับ
สำหรับเรื่องประสิทธิภาพนั้น ผมเลือกใช้โปรแกรม Benchmark ต่างๆ มาวัดดังนี้
• AnTuTu Benchmark สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพในภาพรวม
• MobileXPRT 2013 เพื่อประเมินประสบการณ์ในการใช้งานทั่วๆ ไป (เช่น การตกแต่งภาพ การตรวจจับใบหน้าคนในรูป การเข้ารหัสข้อมูล และความลื่นไหลของพวกแอนิเมชั่นต่างๆ ของ User Interface)
• 3DMark สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลกราฟิก 3D
• PCMark สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพในการใช้งานโดยทั่วๆ ไป (เช่น การท่องเว็บ การค้นหาข้อมูล การเล่นไฟล์วิดีโอ การตกแต่งภาพ)
• Vellamo Mobile Web Benchmark สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานด้านเว็บ
• Geekbench สำหรับการวัดประสิทธิภาพการประมวลผลในภาพรวม โดยแบ่งเป็น Single-core และ Multi-core
ป้ายกำกับ:
Pocket WiFi
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น